Heritage Stories
Heritage Stories
The renovation project transforming House No. 1 on Soi Sukhumvit 20 into the Taraba Prime Japanese Restaurant is a meticulous exercise in conservation and commercial adaptation. Originally designed by the distinguished Thai architect Pol Chulasewok between 1950 and 1958, the house represents a significant example of Thai Modern Architecture, thoughtfully adapted to the local hot and humid climate. The owners’ decision was crucial: choosing conservation over demolition to revitalize the structure while strictly preserving the original condition and architectural integrity of its Modernist components. This effort rigorously maintained key exterior features, including the low-pitched gable roof with extended eaves, the signature reinforced concrete sunscreens known as "Spider’s Legs," and the unique pattern of repeated square-shaped windows. Crucially, the project ensured the marks and traces of the original column and beam structure remained visible, directly respecting the building's history.
The most significant intervention involved redesigning the functional space to achieve a seamless blend of heritage and hospitality, introducing a luxurious, comfortable, and modern atmosphere infused with a humble Oriental spirit. The interior design strongly adheres to Japanese aesthetic principles of simplicity and order through proportionate spatial arrangements. Embodying this concept, the design utilizes curved, natural stone veneer partition walls adorned with Sumi-e mountain art, which subtly recalls the square grid patterns of Fusuma and Shoji. This conveys profound serenity and natural beauty, adding significant depth and dimension consistent with the Aesthetics of Repetition and Arrangement, thereby enhancing the dining experience. The ground floor was designated as the main public dining area, while the upper floor was partitioned into exclusive private dining rooms, ensuring both efficient flow and appropriate adaptation of the original residential scale.
The design team navigated several technical challenges, including structural crack repairs and the replacement of severely deteriorated materials using new ones that closely matched the originals (like-for-like) to maintain authenticity. Ultimately, the project team meticulously worked to reveal the historical traces of elements, ensuring every deliberate or accidental mark contributing to the building's narrative was retained. The result is a project that stands as a testament to the effective conservation and commercial adaptation of Thai Modern architecture in Bangkok. It successfully fuses the building's enduring Tropical Modernist structure with the elegant simplicity of Japanese design, allowing this important piece of history to continue serving its community as a landmark.
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
งานบูรณะปรับปรุง บ้านเลขที่ 1
“บ้านหลังแรกในซอยสุขุมวิท 20” เจ้าของอาคารและเจ้าของโครงการได้ให้โจทย์ว่าห้ามรื้ออาคารหลังนี้ และต้องปรับปรุงอาคารเพื่อเป็นสถานประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่น
หลังจากสืบค้นข้อมูลอาคารพบว่า “นายพล จุลเสวก” เป็นผู้ออกแบบ และอาคารหลังนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเริ่มแรกของการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลแนวคิดแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modern Architecture) ในประเทศไทย
ผู้ออกแบบจึงเสนอให้ปรับปรุงและบูรณะอาคาร ผ่านกระบวนการศึกษาและการออกแบบเชิงอนุรักษ์ เพื่อให้ตอบสนองการใช้สอยใหม่ โดยไม่ลดทอนคุณค่าของอาคารเดิมลง
BEFORE
AFTER
บ้านเลขที่ 1 Taraba Prime Japanese Restaurant ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 20 เป็นโครงการปรับปรุง (Renovation project) ที่แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2567
ปลายปี พ.ศ. 2566 เจ้าของโครงการ (เจ้าของร้าน) ได้ติดต่อเจ้าของอาคารเพื่อขอเช่าอาคารหลังนี้เพื่อดำเนินกิจการร้านอาหารญี่ปุ่น โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่า "ห้ามรื้ออาคารหลังนี้" และต้องนำเสนอรูปแบบของร้านแก่เจ้าของอาคารก่อนเริ่มทำการปรับปรุงพื้นที่จริง โดยมีหลักคิดที่ว่า "ต้องไม่ลดทอนคุณค่าของตัวอาคารเดิม"
ผู้ออกแบบได้รับมอบหมายให้ศึกษาข้อมูลและวางแนวทางการปรับปรุง โดยเสริมว่า "ให้รูปแบบดั้งเดิมของอาคารกลับมามีความโดดเด่นชัดเจนมากกว่าปัจจุบัน" (ก่อนการปรับปรุง) เพื่อให้คุณค่าดั้งเดิมของอาคารมีส่วนช่วยส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีความโดดเด่นน่าสนใจ
บ้านหลังนี้เป็นสถาปัตยรรมที่ถูกสร้างขึ้น ในยุคโมเดิร์นนิสต์ (Modernism) เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ประมาณปี พ.ศ. 2493-2501 โดย ศ.นพ.พ.ท.หลวงประจักษ์เวชสิทธิ์ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้บุกเบิกแผนกจักษุกรรมของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และเป็นจักษุแพทย์คนแรกของประเทศไทย
ที่ดินสำหรับสร้างบ้านนี้ถูกซื้อมา 4 แปลงติดกันในราคาตารางวาละ 10 สลึง และได้ว่าจ้างนาย "พล จุลเสวก" สถาปนิกผู้ซึ่งมีความคุ้นเคยกับครอบครัวประจักษ์เวช มาออกแบบบ้านให้ โดยเดิมตั้งใจให้เป็นที่อยู่อาศัย แต่เมื่อสร้างเสร็จก็ถูกปล่อยให้เช่าเพื่อนำรายได้บางส่วนเป็นทุนการศึกษาให้กับ ศ.นพ.ประจักษ์ ประจักษ์เวช บุตรชาย
การที่อาคารถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการอยู่อาศัยและถูกเปลี่ยนให้เช่าตั้งแต่แรกเริ่ม แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการใช้งานของตัวอาคารมาตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนมาใช้งานเชิงพาณิชย์ในปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน
นายพล จุลเสวก
ผู้ออกแบบอาคารบ้านเลขที่ 1 หลังนี้ เป็นผู้ที่ในอดีตมีบทบาทในงานออกแบบและก่อสร้างอาคารต่างๆ ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การปกครอง และเทคโนโลยีการก่อสร้าง
นอกจากนี้ยังเป็นยุคแรกเริ่มของ สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (MODERN ARCHITECTURE) ในประเทศไทย โดยท่านได้ดำรงตำแหน่งนายช่างสถาปนิกเอกของกรมโยธาธิการ และเป็นสถาปนิกใหญ่ระดับ 9 คนแรกของกรมโยธาธิการ โดยเริ่มรับราชการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2493
ผลงานออกแบบที่มีการจดบันทึกของนายพล จุลเสวก แสดงให้เห็นถึงความสามารถและอิทธิพลของท่านในระดับประเทศ
พ.ศ. 2494: สถาปนิกผู้ช่วยออกแบบและเขียนแบบในการต่อเติมพระตำหนักจิตรลดา
พ.ศ. 2499: ออกแบบและควบคุมการออกแบบอาคารห้องประชุมสหประชาชาติ (ศาลาสันติธรรม)
พ.ศ. 2504: ออกแบบก่อสร้างพระตำหนักที่ประทับบนดอยสุเทพ เพื่อต้อนรับพระราชอาคันตุกะ
พ.ศ. 2512: อนุกรรมการในคณะกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมองค์พระปฐมเจดีย์
พ.ศ. 2513: ออกแบบและก่อสร้าง บ้านพักรับรองนายกรัฐมนตรี (จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์) ที่อ่างศิลา จังหวัดชลบุรี และที่เขาใหญ่ จังหวัดสระบุรี รวมถึง อาคารรัฐสภา
พ.ศ. 2521: ออกแบบวางผังแม่บทอาคารและภูมิสถาปัตยกรรมในโครงการก่อสร้างพุทธมณฑล
พ.ศ. 2523: หัวหน้าฝ่ายสถาปัตยกรรมร่วมในการซ่อมแซมบูรณะองค์พระที่นั่งอนันตสมาคม
พ.ศ. 2525: อุโบสถวัดป่าเขาแก้ว
ผลงานอื่นๆ: อาคารที่ทำการกรมประชาสัมพันธ์, ตึกที่ทำการ ศาลากลาง ที่ว่าการอำเภอ ศาลาประชมคม บ้านพักข้าราชการ และมัสยิดทางภาคใต้ให้กรมการปกครอง, อาคารที่ทำการกรมการขนส่งทางบก, อาคารในสังกัดกระทรวงยุติธรรม (ศาลแขวง ศาลฎีกา ศาลแพ่ง ศาลอาญา และบ้านพักข้าราชการ), อาคารในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและสภากาชาดไทย (ร.พ.ศิริราช ร.พ.จุฬาลงกรณ์ ร.พ.หญิง/ราชวิถี สำนักงานเหล่ากาชาดกาญจนบุรี), สถานีโทรทัศน์ขาวดำแห่งแรกที่บางขุนพรหม, ซุ้มรับเสด็จตามจัดต่างๆ, ซุ้มพระบรมฉายาลักษณ์สี่ทิศกลางสนามหลวง, โบสถ์ทรงไทยขนาดเล็กสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในโรงพยาบาล, จัดทำเอกสารประเภทอาคารที่พักอาศัยแบบชนบททั่วไปในแต่ละภาค, จัดทำหลักสูตรอบรมช่างอาสาสมัคร, โบสถ์วัดเขาสระแก้ว
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา อาคารนี้ได้ถูกปล่อยเช่าเป็นร้านอาหารเรื่อยมา โดยร้านที่มีชื่อเสียงคือร้านอาหารเยอรมัน "Bei Otto" ซึ่งเป็นร้านอาหารเยอรมันร้านแรกของประเทศไทย ซึ่งเปิดกิจการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 และปัจจุบันคือร้านอาหารญี่ปุ่น Taraba Prime Japanese Restaurant
ศ.นพ.ประจักษ์ ประจักษ์เวช บุตรชายของ ศ.นพ.พ.ท.หลวงประจักษ์เวชสิทธิ์ ได้เล่าว่า ที่ดินแปลงนี้ได้รับการติดต่อขอเช่าระยะยาว เพื่อสร้างเป็นคอนโดมิเนียมหลายครั้ง แต่ด้วยความรักในบ้านหลังนี้จึงได้ปฏิเสธไป
อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ได้ระลึกถึงคุณแม่ที่แสดงให้เห็นถึงความทันสมัย และความคิดก้าวหน้าของคุณแม่ในสมัยนั้น ทั้งในด้านการเลือกซื้อที่ดิน สร้างบ้านในย่านสุขุมวิทที่สมัยนั้นถือว่าเป็นชานเมือง ทุ่งนา เรียกรวมว่า ทุ่งบางกะปิ
รวมไปถึงการจ้างสถาปนิกให้ออกแบบบ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเปิดรับสถาปัตยกรรมรูปแบบสมัยใหม่ที่เพิ่งเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทย
เนื่องจากอาคารหลังนี้มีวัตถุประสงค์ในการปล่อยเช่ามาตั้งแต่แรก ตัวอาคารจึงมีการปรับปรุงในหลายช่วงเวลาตามความต้องการด้านการใช้งานของผู้เช่า
จากสภาพที่ปรากฏ ณ วันที่เข้าสำรวจอาคารพบว่าผังพื้นชั้นล่างของอาคารถูกเปลี่ยนไปมาก โดยส่วนที่สันนิษฐานว่าเป็นเฉลียงรอบอาคารถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ใช้สอยภายในไปแล้วทั้งหมด
อีกทั้งส่วนระเบียง ค.ส.ล. ที่ชั้นสองยังถูกต่อเติมเป็นพื้นที่ภายในและห้องต่างๆ เกือบทั้งหมด เหลือเพียงหลังคากันสาดหน้าอาคารทิศตะวันตกเฉียงใต้ และระเบียงด้านทิศเหนือที่ยังคงอยู่
นอกจากนี้ยังพบว่าองค์ประกอบของอาคารมีความทรุดโทรมไปตามกาลเวลาและสภาพการใช้งาน เช่น ช่องหน้าต่างของมุกอาคารเดิม บันได คิ้ว-บัวกรอบหน้าต่างและระเบียง เป็นต้น แต่สภาพโดยรวมของโครงสร้างอาคารหลักนั้นยังค่อนข้างสมบูรณ์เพียงแต่ถูกครอบทับด้วยส่วนต่อเติมต่างๆ ข้างต้น
ผู้เช่าเดิม
Taraba Prime Japanese Restaurant
ครอบครัวเจ้าของโครงการและสถาปนิก
ศ.นพ.ประจักษ์ ประจักษ์เวช
โครงการนี้มีการวางแผนและดำเนินการอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ
ใช้เทคนิควิธีการอนุรักษ์ที่เหมาะสมกับสภาพอาคารและคุณค่าที่ต้องการรักษา
หลักการและแนวทางในการอนุรักษ์
ยึดหลักการสำคัญคือ "ปรับปรุงอาคารให้ตอบสนองความต้องการใช้สอยใหม่ โดยให้เห็นร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงบางช่วงเวลา โดยถือว่าร่องรอยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของตัวอาคารเอง" ซึ่งแสดงถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งว่าอาคารประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาตลอด
การป้องกันการเสื่อมสภาพ (Protection) และการเสริมสภาพอาคาร (Consolidation) มีการสำรวจและวิเคราะห์สาเหตุของรอยแตกและรอยร้าวของโครงสร้างที่เกิดจากการบรรจุน้ำหนักเกินพิกัดร่วมกับวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อซ่อมแซมอย่างเหมาะสม ป้องกันปัญหาในอนาคต และชะลออายุโครงสร้าง
การคงสภาพอาคาร (Preservation) และการปฏิสังขรณ์ (Restoration) รักษาสภาพอาคารให้คงอยู่ในสภาพเดิมให้ได้มากที่สุด โดยซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด (เช่น พื้นไม้ที่ผุ, ราวบันได, ประตู, หน้าต่าง) ด้วยวัสดุที่ใกล้เคียงกับวัสดุดั้งเดิม และทำการซ่อม ขัดแต่งพื้นผิว ทาสีใหม่ เพื่อคงสภาพสมบูรณ์และยืดอายุการใช้งาน
การปรับปรุงเพื่อนำมาใช้ใหม่ (Rehabilitation) อาคารได้รับการปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยใหม่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองความต้องการของกิจการร้านอาหาร Taraba Prime Japanese Restaurant โดยยังคงรักษาคุณค่าของมรดกทางสถาปัตยกรรมไว้ การออกแบบพื้นที่ใช้สอยใหม่ (ชั้นล่างสำหรับโต๊ะ/บาร์/ครัว, ชั้นบนสำหรับห้องทานอาหารส่วนตัว) แสดงถึงการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์และเคารพต่อคุณลักษณะสำคัญของอาคารเดิม
รูปแบบทางสถาปัตยกรรม
อาคารนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modernism Architecture)
ซึ่งเป็นรูปแบบที่เน้นความเรียบง่าย ลดทอนการประดับตกแต่งที่ไม่จำเป็น และให้ความสำคัญกับฟังก์ชันการใช้งานและวัสดุ
อย่างไรก็ตาม รูปแบบนี้ได้รับการประยุกต์ให้เหมาะสมกับภูมิอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย โดยมีองค์ประกอบที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของนายพล จุลเสวก
แผงบังแดดแนวตั้ง หล่อด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า "ขาแมงมุม" ทำหน้าที่ป้องกันแสงแดดและฝน
หน้าต่างรูปทรงจัตุรัสซ้ำกัน โดยเฉพาะบริเวณมุขด้านข้างชั้น 1 และชั้น 2 ที่แบ่งเป็น 3 ช่องเท่ากัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในการออกแบบของสถาปนิก
หลังคาทรงจั่วเอียงต่ำยื่นชายคา ทำให้รูปแบบสถาปัตยกรรมมีความโมเดิร์น มีอิสระในการออกแบบพื้นที่ภายใน และสอดคล้องกับภูมิอากาศที่ต้องการกันแดดกันฝนรอบด้านอาคาร
ราวกันตกและหน้าต่างบานวิคโก้ เป็นองค์ประกอบที่พบเห็นได้
โครงสร้างอาคาร
- คอนกรีตเสริมเหล็ก ได้แก่ โครงสร้างเสาและคานพื้นชั้น 1 และ 2 และพื้นส่วนกันสาด ระเบียงชั้น 2 และพื้นห้องน้ำ
- โครงสร้างไม้ ได้แก่ โครงสร้างตงพื้นภายใน บันได และโครงหลังคาทั้งหมด
การสันนิษฐานจากการเปรียบเทียบอาคารเดิมและอาคารที่คาดการณ์ พบว่ามุขด้านหน้าอาคาร (Approach) ถูกออกแบบมาให้ความสำคัญกับถนนสุขุมวิท 20 ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก เนื่องจากเป็นถนนหลัก นอกจากนี้ ทิศใต้ ซึ่งเคยเป็นทางเข้าหลักแต่เดิมนั้นสัมพันธ์กับที่ดินของเครือญาติเจ้าของอาคาร โดยมีซอยเล็กคั่นกลาง ทำให้สามารถสัญจรไปมาระหว่างกันได้สะดวก
การแบ่งพื้นที่ภายในอาคาร
(จากการสันนิษฐานและสัมภาษณ์)
พื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 160 ตารางเมตร ประกอบด้วย:
1. ชั้นล่าง: เฉลียงหน้าบ้าน, รับประทานอาหาร/รับแขก, โถงบันได, ห้องครัว, ห้องน้ำ
2. ชั้นบน: โถงบันได, ห้องนอนใหญ่, ห้องนอน, ห้องน้ำ
3. หลังบ้าน: ห้องครัว, ห้องน้ำ
การวางอาคาร
สันนิษฐานว่าหน้าบ้านอยู่ทิศใต้ (ไม่ติดถนนหลัก) คือด้านมีมุขและแผงบังแดด (ขาแมงมุม) ชายคายื่นยาวรับเฉลียงทางเข้า เนื่องจากมีลักษณะที่โดดเด่น และจากการสัมภาษณ์มีการซื้อที่ดินติดกัน 4 แปลง จึงวิเคราะห์ว่าต้องการหันหน้าบ้านชนกัน ส่วนทางด้านทิศตะวันตก (ติดถนน) จึงออกแบบหน้าอาคารให้มีลักษณะที่โดดเด่นเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของผังบริเวณและบริบทโดยรอบ
เปลี่ยนการใช้งานจากที่อยู่อาศัยเป็นร้านอาหาร ซึ่งมุขด้านทิศใต้ถูกบัง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของทางเข้าหลักเพื่อสะดวกต่อการใช้อาคาร
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันที่ดินทิศใต้ได้เปลี่ยนเป็นโรงแรม และซอยดังกล่าวกลายเป็นทางเข้า-ออกสำหรับขนส่งขยะ (Back of the house) ของโรงแรม
ดังนั้น เมื่อมีการรีโนเวทอาคาร ผู้ออกแบบจึงปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการใช้งานในปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญกับทิศตะวันตกที่ติดถนนสุขุมวิท 20 เป็นหลัก เพื่อเป็นทางเข้า-ออกหลักของโครงการ เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงของลูกค้าและผู้มาเยือน ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้เช่ารายก่อนหน้า
ELEMENTS : งานออกแบบที่ผสานเข้ากับองค์ประกอบที่มีอยู่เดิมของอาคาร
BEFORE
AFTER
INTERIOR
EXTERIOR
BEFORE
AFTER
สิ่งที่ไม่แก้ไข
เน้นการคงสภาพเดิมของอาคาร และส่วนตกแต่งโดยเฉพาะองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์น
ร่องรอยกระเบื้องดินเผาที่ถูกทาสีขาวทับก่อนหน้านี้จากผู้เช่าเดิม
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
รักษาร่องรอยของโครงสร้างเสาคานเดิม
สิ่งที่แก้ไข
การซ่อมแซมรอยร้าวของโครงสร้าง, การเปลี่ยนวัสดุบางส่วนที่ชำรุด เช่น พื้นไม้, ราวบันได ให้ใกล้เคียงวัสดุดั้งเดิม, การซ่อมแซมและทาสีประตูหน้าต่างที่ทรุดโทรม
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
สิ่งที่รื้อออก
ส่วนต่อเติมที่ครอบทับโครงสร้างหลักเดิม
สิ่งที่เพิ่มเข้าไปใหม่
การออกแบบพื้นที่ใช้สอยใหม่สำหรับร้านอาหาร โดยชั้นล่างเป็นพื้นที่สำหรับวางโต๊ะ เคาน์เตอร์บาร์ ห้องครัว สำหรับชั้นบนจะกั้นเป็นห้องทานอาหารส่วนตัวรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีจำนวน 6 คนขึ้นไป
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
BEFORE
AFTER
คุณค่าในการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม
คุณค่าด้านประวัติศาสตร์
อาคารนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เนื่องจากเกี่ยวพันกับเหตุการณ์และบุคคลสำคัญ เช่น ศ.นพ.พ.ท. หลวงประจักษ์เวชสิทธิ์ และนายพล จุลเสวก เป็นบ้านหลังแรกๆ ที่สร้างในยุคเริ่มต้นของย่านสุขุมวิท 20 (พ.ศ. 2493-2501) และเป็นหลักฐานทางกายภาพที่บอกเล่าเรื่องราวการขยายตัวของเมืองกรุงเทพฯ
คุณค่าทางศิลปสถาปัตยกรรม
เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modernism Architecture) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนแปลงรูปแบบการออกแบบสถาปัตยกรรมในประเทศไทยจากรูปแบบตามประเพณีนิยม เป็นงานสถาปัตยกรรมที่มีแนวคิดแบบตะวันตกออกแบบโดยสถาปนิกไทย มีคุณค่าด้านความงามจากการจัดองค์ประกอบของอาคารแบบสมดุลแต่ไม่สมมาตร คุณค่าทางความคิดสร้างสรรค์จากการใช้วัสดุใหม่ (คอนกรีตเสริมเหล็ก) คุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จากการประยุกต์สถาปัตยกรรมตะวันตกให้เข้ากับภูมิอากาศของไทย คุณค่าทางสัญลักษณ์และอารมณ์จากการออกแบบองค์ประกอบอาคารโดยรอบเป็นเส้นตั้งและเส้นนอนทำให้เกิด 3 จังหวะเท่าๆ กันและคุณค่าทางฟังก์ชันและการใช้งานที่คำนึงถึงแสง ลม แดด และบริบท
คุณค่าด้านสังคม
เป็นบ้านหลังแรกๆ ที่สร้างในยุคเริ่มต้นของย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมโดยสถาปนิกไทย สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าและให้ความสำคัญของวิชาชีพสถาปนิก โดยออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้ตรงตามความต้องการของเจ้าของ และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องตามยุคสมัย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมกับบริบทรอบข้างเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
คุณค่าทางวิชาการ
เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับย่าน, เป็นตัวอย่างของ Modernism, และเป็นส่วนประกอบหนึ่งอันสำคัญยิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทยในช่วงทศวรรษ 2490-2500 รวมถึงคุณลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย หรือการใช้วัสดุในการก่อสร้างที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางด้านจิตใจของเจ้าของ